รีวิวหนัง : Lady Bird

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แฟนหนังตั้งตารอชมมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับ Lady Bird ผลงานของนักแสดงแสดงสาวที่ผันตัวมากำกับหนังเรื่องแรก Greta Gerwig ซึ่งการทำหนังในครั้งแรกก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะได้เข้าชิงรางวัลมากมายหลายเวที และต้องมาลุ้นกันในออสการ์ปีนี้ว่า Lady Bird จะได้รางวัลใดกลับไปครองบ้าง

Lady Bird ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยของ คริสติน สาวหัวกบฎจากโรงเรียนคาทอลิกที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอต้องทนอยู่ในเมืองที่เธอเกลียด แม่ที่ไม่เข้าใจเธอ และโรงเรียนที่เธอไม่ต้องการ เธอแหกกฎทุกอย่าง เธอพยายามหาทางหนีจากครอบครัวและสังคมเมืองเล็กแห่งนี้ เพื่อเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในมหานครนิวยอร์ก ซีรี่ย์เกาหลี

ยอมรับว่าตอนเห็นตัวอย่างแรกของ Lady bird ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย สนแค่นักแสดงนำอย่าง Saoirse Ronan เท่านั้น เพราะเป็นนักแสดงคนโปรด แต่พอได้รู้ว่าดาราสาวมากฝีมืออย่าง Greta Gerwig เป็นผู้กำกับจึงได้กลับมาย้อนดูตัวอย่างหนังอย่างพินิจพิเคราะห์มากขึ้น

ด้วยพล็อตเรื่องที่ไม่ได้มีความพิเศษ แต่ก็ไม่ธรรมดา และไม่ได้แปลกใหม่ไปเสียทีเดียว ทำให้รู้สึกว่าหนังมันจะต้องซ่อนอะไรดีๆ ไว้แน่ๆ และก็เป็นไปตามที่คาด หนังสื่อสารออกมาได้อย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา ซ่อนประเด็นหลายอย่างให้ได้ขบคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการค้นหาตัวตนและความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว

การที่ได้นักแสดงสาวดาวรุ่งเป็นที่น่าจับตามองอย่าง Saoirse Ronan มารับบทนำเป็นสาวไฮสคูลที่พยายามดิ้นรนจากชีวิตที่เป็นอยู่ ยอมรับว่าค่อนข้างเข้าถึงบทบาท การถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละเป็นไปตามธรรมชาติ รวมทั้งนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Laurie Metcalf เป็นแม่ที่ไม่เคยชื่นชมลูก, Tracy Letts เป็นพ่อที่ใจเย็น และ Jordan Rodrigues เป็นพี่ชายที่แตกต่างกับน้องสาวสุดขั้วล้วนแล้ว ซึ่งแต่ละคนก็สวมความเป็นมนุษย์ที่พบเห็นได้ทั่วไป

เพราะทุกคนเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน เชื่อว่าใครที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถเข้าใจความรู้สึกของคริสติน ตัวเอกของเรื่องได้ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชีวิตสมบูรณ์แบบ ความขาดๆ เกินๆ นี่แหละจะทำให้เราเติบโตอย่างมีคุณภาพและไม่เหมือนใคร จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตก็คือช่วงมัธยมเข้าสู่การเป็นวัยรุ่นนี่เอง Lady Bird ทำให้เราได้คิดย้อนกลับไปในชีวิตมัธยม ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มันช่างวุ่นวายทั้งกายและใจ

ท้ายที่สุดแล้วจะพบว่า Lady Bird ไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงที่มีสีสันเท่านั้น แต่กลับสร้างรสชาติ และภาพจำให้เราย้อนเวลากลับไปเห็นช่วงชีวิตที่สนุกที่สุด วุ่นวายที่สุด อาจจะทุกข์มากที่สุด แต่ก็มีความหมายกับชีวิตมากที่สุดเช่นกัน

Comments

Popular posts from this blog

รีวิวหนัง : King Richard (2021)

รีวิวหนัง : Goodbye Christopher Robin

รีวิวหนัง : Two (2021) คนคู่